Hamutaro

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ภัยของโซเชียล

ภัยของโซเชียลเน็ตเวิร์คสรุปสั้นอยู่ที่ 3
 1. หลุด คือ หลุดเอาข้อความบ้าง ภาพบ้าง ที่ไม่ควรออกสู่สธารณะ แต่หลุดไปแล้ว เด็กบางคนไปถ่ายรูปตัวเองที่ไม่เหมาะสมออกไป นึกว่าจะอยู่กัยเพื่อนสองสามคน ที่ไหนได้ โซเชียลเน็ตเวิร์คมันเร็วมากเพื่อนเห็นแล้วแชร์ต่อนึกว่าเห็นแค่อีกคนเดียว คนนั้นอีกคนก็ต่อไปอีกคน แปบเดียวก็ไปถึงคนเป็นแสนเป็นล้านคนได้ เจ้าตัวก็เสียชื่อเสียงไปเลย หรือว่าข้อความปรับทุกข์กับเพื่อน นึกว่าเป็นเหมือนนั่งคุยกันแบบโทรศัพท์ เช่น วันนี้เจ้านายไม่เข้าท่าเลย พูดอย่างนั้นพูดอย่างนี้ ทำอะไรไม่ได้เรื่อง เพลอแปบเดียวไปถึงหูเจ้านาย เจ้านายเห็นพยานหลังฐานชัดเจน เจ้าตัวหมดอนาคตไปเลย นี้คือเรื่องของการหลุด

2.หลอก  คือถูกเขาหลอก เช่น หลอกเอาข้อมูลส่วนตัว บ้าง บัตรเครดิตบ้าง โปรไฟล์ส่วนตัวบ้าง แล้วไปทำอาชญากรรมหลากหลายรูปแบบ อย่างคาดไม่ถึงเลย บางคนแค่ไม่ใช้อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ในการเข้าใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์คมีคนผ่านข้างหลังแค่ชำเลืองดู เห็นแล้วว่ายูสเซอร์เนมคืออะไร ไปนั่งเครื่องห่างไปหน่อย แอดเฟรนเข้ามาขอเป็นเพื่อน อันนี้ก็ไม่รู้อีโน่อีเน่ก็รับเพื่อนไปด้วย เขาก็เลยกรอบรูปเอาไปใช้หลอกหาว่า เป็นหญิงขายบริการต่างๆ ก็มีแล้วก็ให้คนที่ต้องการสนใจจ่ายเงินเข้ามา แล้วเดียวจะไปให้บริการ เจ้าตัวอยู่เฉยๆ หารู้ไม่ว่าถูกปลอมข้อความปลอมรูป ปลอมเนื่อหา กลายเป็นคนขายบริการไปแล้วเสียชื่อเสียงไปเลย แล้วพอไปหรอกคนอื่นเขาได้ คนที่จ่ายตังไปพอเจอก็ทำร้ายเลยก็มีนึกว่าคนนี้เป็นคนหลอก จริงๆ เจ้าตัวไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย

3.ล้น คือการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างล้นเกินเรียกว่าเหมือนกันเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์คแอดดิก เสพติดเลย เขามีการทำวิจัยอยู่ว่าชาวอเมริกันอายุเกิน 25 และต่ำกว่า 25 และใช้สมาร์ทโฟนกับไม่ได้ใช้ ตื่นเช้ามาใครบ้างที่อยู่บนเตียง คว้าสมาร์ทโฟนเปิดเช็คข่าวในโซเชียลเน็ตเวิร์คก่อน มีใครส่งข้อความมาไหม  ปรากฎว่าเยอะเลยที่เป็นแบบนั้น บางคนลุกจากเตียงแต่ยังไม่ทันเปิดทีวี เข้าห้องน้ำ เช็คข่าวก่อน เกินครึ่ง นั้นคือวิถีของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน บางคน ห้าทุ่ม เที่ยวคืน อดหลับอดนอน นั่งอยู่กับโซเชียลเน็ตเวิร์คคุยกับเพื่อนแชทไป แชทมา เข้าไปหาเว็บนั้นเข้าไปหาเว็บนี้ เข้าไปเพจนั้น เพจนี้ สารพัดถองจนลืมเวลาไป สุขภาพก็ทรุดโทรม การเรียนการงานก็เสีย นี้คือการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างล้นเกิน


อ้างอิง  http://www.dmc.tv/pages/top_of_week

10 อันตรายจากโซเชียล



อ้างอิง  http://enews.boonrawd.co.th/content/

อันตรายจากโซเชียล

1. หลอกว่ามาดีแต่จริงๆประสงค์ร้าย (Social Engineering Attack on Social Network) 
          การโจมตีแบบนี้ เป็นหนึ่งในวิธีการที่นิยมใช้เป็นอย่างมาก เน้นการโจมตีที่ตัวบุคคล โดยผู้ใช้งานมักจะคาดไม่ถึง และ ตกเป็น เหยื่อในที่สุด ส่วนมากจะมาในรูปแบบของ แอพพลิเคชั่นบน Facebook หรือการเล่นเกมเพื่อแลกของรางวัล เมื่อผู้ใช้งานคลิกเข้าไปใช้ งานแอพพลิเคชั่นหรือร่วมเล่นเกมดังกล่าว ก็จะตกเป็นเหยื่อของพวกอาชญากรโดยไม่ทันตั้งตัว

2. ล่อเหยื่อตกปลาออนไลน์ (Phishing Attack) 
          ในอดีต เป็นเทคนิคการล่อลวงที่มักจะส่ง URL Link ที่ล่อให้ไปเข้าเว็บไซด์ปลอม ที่ส่งมาทางอีเมล โดยอาชญากร จะหลอกให้ผู้ใช้งานคลิก URL Link ที่อยู่ในอีเมล แต่ปัจจุบันอาชญากรจะส่ง URL Link ที่ย่อให้สั้นลง (URL Shorten) เช่น คลิปวิดีโอหรือไฟล์ของรูปภาพ และนำไปสู่เว็บไซด์ปลอม เพื่อดักขโมยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ผ่านทางสังคมออนไลน์มากยิ่งขึ้น

3. โค้ดร้ายฝังลึก (Cross Site Scripting Attack) 
          เป็นเทคนิคการโจมตีผู้ใช้งาน Facebook โดยอาชญากรจะทำการฝังโค้ด หรือสคริปต์การทำงานของตนเองเข้าไปบนหน้าเว็บไซด์ที่มีช่องโหว่ ซึ่งข้อมูลสำคัญของผู้ใช้ Facebook เช่น Username และ Password จะถูกส่งกลับมาให้อาชญากร แทนที่จะผ่านเข้าไปในเว็บไซด์ที่ผู้ใช้ Facebook กำลังเยี่ยมชมอยู่

4. ถูกสวมรอยง่ายๆ แค่เล่น Facebook อย่างไม่ระวัง (Cross Site Request Forgery Attack) 
          เป็นวิธีการที่อาชญากรใช้ในการโจมตีผู้ใช้ Facebook หรือ Internet Banking โดยการแอบขโมยสิทธิ หรือ Credential ที่ผู้ใช้ได้ล็อกอินเว็บไซด์ ค้างไว้ ซึ่งอาชญากรอาจนำ Credential ของเราไปใช้งานต่อ เช่น ทำการโอนเงินออก จากบัญชีของผู้ใช้งานระบบ Internet Banking โดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว เป็นต้น

5.หลอกให้คลิกแต่แอบซ่อนมีดไว้รอเชือด (Clickjacking or UI Redressing Attack)  
          เป็นเทคนิคการโจมตีผู้ใช้งาน โดยหลอกให้คลิกรูป ที่ดูล่อตาล่อใจบนเว็บไซด์ ซึ่งอาชญากรจะแอบซ่อน Invisible frame ไว้หลังรูป เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างที่เหยื่อไม่รู้ตัวเลยว่ามี Script มุ่งร้ายแอบซ่อนอยู่

6. โดนหลอกล่อให้ไปเจอ Link ที่อาชญากร รออยู่ (Drive-by Download Attack)  
          ผู้ใช้งาน Facebook อาจถูกโจมตี ด้วยโปรแกรมประสงค์ร้าย ที่สามารถทำการติดตั้งลงบนเครื่อง ของผู้ใช้งาน Facebook เพียงแค่ผู้ใช้งานเข้าไปเยี่ยมเว็บไซด์ ที่อาชญากรโพสต์ เป็น Link ล่อเหยื่อไว้บน Facebook Page และผู้ใช้งาน เผลอดาวน์โหลดโดยไม่รู้ตัว

7. เทคนิคการโจรกรรมข้อมูลขั้นสูงแบบต่อเนื่อง APT 
          เป็นเทคนิคการโจมตีขั้นสูงที่มุ่งเน้นเป้าหมายผู้ใช้งาน Internet Banking ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ในระดับองค์กร หรือ รัฐบาล โดยอาชญากรสามารถฝังโปรแกรมมุ่งร้าย เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ของเป้าหมาย เพื่อแอบโจรกรรมข้อมูลลับ อย่างต่อ เนื่อง เป็นระยะเวลานาน ซึ่งยากต่อการตรวจสอบด้วยโปรแกรม Anti-virus ทั่วไป สำหรับ MitB (Man-In-The-Browser Attack) เป็นเทคนิคในการโจมตีที่หลัง Browser ของเหยื่อ มักจะใช้ในการ ทำ Indentity Theft ด้วยเทคนิค Web Field Injection

8. โดนดักข้อมูลลับระหว่างทาง (Indentity Theft) 
          เป็นเทคนิคการโจมตีผู้ใช้งาน Facebook โดยอาชญากรจะทำการดักจับข้อมูลที่ส่งไปมาระหว่างผู้ใช้งาน Facebook กับ facebook.com แบบเงียบ เพื่อขโมย Username และ Password ของผู้ใช้ และอาจลุกลามไปถึง E-mail Account ด้วย ถ้าใช้ Username และ Password เดียวกัน กับ Facebook

9. บอกเพื่อนว่าเราอยู่ไหน (บอกโจรว่าเราไม่อยู่บ้าน) (Your GPS Location Exposed)  
          การใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง Facebook หรือ Twitter นั้น อาจทำให้ข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบัน (GPS Location) ของผู้ใช้งาน Facebook หรือ Twitter สามารถถูกเปิดเผยสู่สาธารณะได้ โดยที่เราไม่รู้ตัว จากการใช้งานโปรแกรม ประเภท Foursquare, Google Latitude และ Facebook Place

10. ระวังข้อมูลส่วนตัวหลุดรั่วขณะเล่น Facebook เพลินๆ (Your Privacy Exposed)              
          ข้อมูลส่วนต้วของผู้ใช้ Facebook อาจถูกเปิดเผยสู่สาธารณะได้ ถ้าผู้ใช้งาน Facebook ไม่ได้ปรับแก้การตั้งค่าแบบ Default ให้เป็นแบบที่ปลอดภัยมากขึ้น



อ้างอิง  https://sites.google.com/site/khawsanetc7/xantray-cak-so-cheiy-l-net-weir

พฤติกรรมเสี่ยงบนโลกโซเชียล



อ้างอิง  http://www.dmc.tv/pages/top_of_week

ข้อควรระวังในการใช้โซเชียล

1. ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป 
          ไม่ว่าจะเป็นวันเดือนปีเกิด เบอร์โทรศัพท์ หรือว่าที่อยู่ เราควรระมัดระวังข้อมูลเหล่านี้ให้มากที่สุด  บางครั้งอาจจะมีผู้ไม่ประสงค์ดีมาดึงข้อมูลนั้นไป ผู้ไม่ประสงค์ดีมาสร้างเว็บไซต์ปลอม เพื่อขอข้อมูลเหล่านี้ ถ้าเราให้ข้อมูลมากเกินไปก็จะเป็นอันตรายต่อเรา

 2. ไม่ตั้งโปรไฟล์เป็นสาธารณะ 
          ก็เปรียบเหมือนการสร้างบ้านโดยที่ไม่มีรั่วบ้านเชื่อเชิญอาชญากรให้มาบุกรุกบ้านของเรา

 3. ไม่รับแอดเพื่อนง่ายๆ 
          เราควรศึกษาดีๆ ก่อนว่าคนนั้นเป็นใครเป็นเพื่อนของเพื่อนจริงหรือเปล่า  และแอดเราเป็นเพื่อนเพื่อวัตถุประสงค์ใด ถ้าไม่เป็นเพื่อนของเพื่อนจริงเราก็ไม่ขอรับเพื่อนดีกว่าเพราะว่าเขาอาจมีวัตถุประสงค์อื่นในการที่เข้ามาเป็นเพื่อนกับเรา ต้องเช็คดีก่อนไม่อย่านั้นเราจะรับคนพาลเข้ามาเป็นเพื่อนได้ง่ายๆ

4. การเช็คอินในสถานที่ต่างๆ 
          เป็นการบอกว่าตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน บางครั้งเราโพสรูปของเราว่าไปเที่ยวอยู่จะกลับบ้านวันนั้นวันนี้ถ้าเป็นการแชร์กันระหว่างเพื่อนก็ไม่เป็นไร แต่ว่าเป็นคนที่ไม่ได้เป็นเพือนจริงๆ เข้ามาแชร์ข้อมูลกับเราเขาเห็นว่าเราไม่อยู่บ้านคนๆ นั้นเป็นผู้ไม่ประสงค์ดี เขาอาจมาขโมยของที่บ้านเราได้ ในช่วงที่เราไม่อยู่บ้านในเวลาที่เราได้โพสไว้ทางอินเตอร์เน็ตนั้นๆ 

 5. ไม่สารภาพผิดทางอินเตอร์เน็ต 
          เราไม่ควรสารภาพผิดทางอินเตอร์เน็ต เช่น มีผู้ชายใช้ยาเสพติดไปสารภาพทางอินเตอร์เน็ตทางเฟชบุ๊กของตัวเอง การใช้ยาเสพติดเป็นสิ่งผิดกฎหมายก็มีคนไปแจ้งตำรวจมาจับ ทำให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในห้องขังแทน บางคนไปสารภาพว่าเกลียดงานไม่ชอบเจ้านายของเราทำให้เจ้านายไล่ออกจากงาน มีการสำรวจว่า 8% ของผู้ประกอบการเคยไล่พนักงานออกโดยเหตุผลที่ว่าใช้สื่อสังคมที่ไม่เหมาะสม

 6. ไม่ให้เบาะแสของรหัสผ่านกับคนอื่น 
          หลายคนอยากจะแชร์ว่าหมาของเราชื่อว่าอะไร เราชอบกีฬาประเภทไหนหรือว่านามสกุลเดินของคุณแม่ สิ่งเหล่านี้จะเป็นคำถามเมื่อเราลืมรหัส เข้าอีเมลต่างๆ ซึ่งถ้ามีผู้ไม่ประสงค์ดีเขาก็จะรู้หมดเลยว่าเราชอบอะไรมีสัตว์เลี้ยงตัวไหน ชอบกีฬางานอดิเรกอะไร เขาก็สามารถเอาไปกรอกเพื่อที่จะได้รับรหัสได้

 7. ไม่โพสต์รูปที่ไม่เหมาะสม 
          เหตุกาลเหล่านี้มักเกิดขึ้นกัยวัยรุ่นและวัยกลางคน เป็นการโพสต์รูปตัวเองแบบสนุนๆ เช่น โพสต์รูปตัวเองเมาหมดสภาพ หรือ โพสต์รูปตัวเองดูดบุหรี่ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นผลกระทบกับภาพลักษณ์ของตัวเอง มีผลกระทบต่อหน้าที่การงาน พอถึงเวลาที่เราคิดได้ว่าไม่สมควรที่จะโพสต์ แม้เราจะลบออก แต่ภาพก็ได้ส่งต่อและแชร์ออกไปแล้ว

 8. ไม่นินทาเจ้านายออกสื่อ 
          ก็เป็นที่เข้าใจว่าหลายคนที่ทำงานอาจมีการอัดอั้นตันใจอยากจะระบายออกมาแต่ว่าโซเชียลเน็ตเวิร์คไม่ใช้ที่ระบายออกมา เพราะว่ามีคนอ่านข้อความของคุณจำนวนมากถึงเจ้านายของคุณจะไม่ได้อ่านเอง แต่คนอื่นอ่านแล้วเขาก็ไปพูดกัน สักวันหนึ่งก็จะถึงหูเจ้านายจนได้

 9. ไม่โพสต์เรื่องดราม่าต่างๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว 
          เช่น ว่าแฟนนอกใจ ทะเลาะกับเพื่อน  ไม่พอใจ ไม่พอใจเพื่อนรวมงานอะไรต่างๆ การโพสต์สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เรื่องพวกนี้ดีขึ้น หรือพาดพิงถึงบุคคลที่สาม ถ้าเขามาได้ยินสิ่งเหล่านี้เรื่องมันก็จะบานปลายออกไปอีก ทำให้มีปัญหากันเปล่าๆ และยังมองว่าเราไม่ดีด้วย



 10. คิดให้ดีก่อนรับข้อเสนอ 
          เช่น คุณได้รับรางวัลถูกลอตเตอรี่ รางวัลที่หนึ่ง  คุณควรคิดให้ดีก่อนว่าจะรับข้อเสนอนั้นหรือเปล่าส่วนใหญ่แล้วจะมีสิ่งแอบแฝงอยู่ เช่น ถ้าคุณรับข้อเสนอนั้นคุณต้องจ่ายเงินมาก่อน เป็นจำนวนเท่านั้น เท่านี้ และสุดท้ายแล้วคุณก็ไม่ได้ถูกรางวัลที่หนึ่งอย่างที่เขาเสอนมา 

อ้างอิง  http://www.dmc.tv/pages/top_of_week

5 โรคจากคนติดโซเชียล + การแก้อาการติดโซเชียล

เพิ่มคำอธิบายภาพ


อ้างอิง  https://sites.google.com/site/phaykiltaw/rokh-thima-kab-khxmphiwtexr/tid-so-cheiy-lmi-deiy-rawang-pwy-pen-5-rokh

โรคที่มาจากการติดโซเชียล

1) โรคเศร้าจากเฟซบุ๊ก
          การใช้ เฟซบุ๊ก มากเกินไปอาจกลายเป็นการบั่นทอนความสุขและความพึงพอใจในการดำรงชีวิต เช่น โดดเดี่ยว เศร้า และเหงาหงอยมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องระบายความรู้สึกมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดความรู้สึกว้าเหว่ สอดคล้องกับงานวิจัยจากเยอรมนี เมื่อต้นปีที่พบว่า 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้เฟซบุ๊ก มีทัศนคติต่อตัวเองในแง่ลบ เนื่องจากเห็นการอัพเดตสถานะของเพื่อน ทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัวที่มีแต่ความสำเร็จและความสุข ใครที่กำลังเริ่มหดหู่ เศร้า เริ่มออกห่างจากเฟซบุ๊กด่วน!

2) ละเมอแชท (Sleep-Texting)
          ถือเป็นโรคใหม่ที่เกิดจากการใช้สมาร์ทโฟนอีกเช่นกัน และโรคนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะสามารถตามไปหลอกหลอนหรือป่วน แม้กระทั่งตอนที่คุณเข้านอนแล้ว เราสามารถเรียกโรคนี้ ให้เข้าใจง่ายๆ ว่า อาการติดแชทแม้ขณะนั้นตัวเองกำลังหลับอยู่  เป็นอาการชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการพิมพ์ข้อความแชทในมือถือของผู้ที่เข้าขั้น "ติด" อาการนี้จะเกิดขึ้นในขณะหลับ และเมื่อได้ยินเสียงข้อความส่งมา ร่างกายและระบบประสาทจะตอบสนองด้วยการหยิบมือถือมาแล้วพิมพ์ข้อความตอบกลับไปในทันที ซึ่งผู้ใช้จะอยู่ในสภาวะ กึ่งหลับกึ่งตื่น เป็นเหตุให้เมื่อตื่นขึ้นมาจะจำอะไรไม่ได้ว่าทำอะไรหรือพิมพ์อะไรไปบ้าง  ด้วยเหตุนี้ หากจะเล่นไลน์ เฟซบุ๊ก วอทแอพ หรือวีแชต ก็ควรทำแต่พอดี แต่หากคุณติดงอมแงมก็ควรตัดใจปิดมือถือ ปิดเสียง หรือปิดสัญญาณ WiFi และ 3G ไปเลยก่อนนอนเพื่อการพักผ่อนที่เต็มที่

3) โรควุ้นในตาเสื่อม
          สำหรับบางคนอาจจะต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทุกวัน วันละหลายๆ ชั่วโมง และบางคนก็จ้องแท็บเล็ต สมาร์ทโฟนไม่วางตา อาจทำให้เกิดโรควุ้นในตาเสื่อมได้  โรคนี้เกิดขึ้นจากการใช้สายตาที่มากจนเกินไป โดยปกติแล้วในสมัยก่อนโรคนี้ส่วนมากจะพบในผู้สูงอายุ แต่ในปัจจุปัน มีผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มากขึ้น และไม่จำกัดช่วงอายุวัย อาการสำคัญคือเวลามองจะเห็นภาพเป็นคราบ ดำๆ คล้ายหยากไย่  จะทำให้เกิดอาการปวดตา และมีปัญหาด้านสายตาในที่สุด ให้พักสายตาโดยการหลับตา แล้วเกือกตาไปมา ซ้าย ขวา บน ล่าง และหลับให้นิ้งประมาณ 5 นาที

4) โนโมโฟเบีย (Nomophobia)
          เป็นโรคหวาดกลัวการไม่มีมือถือใช้ติดต่อสื่อสาร รวมถึงความเครียดเมื่อมือถืออยู่ในจุดอับสัญญาณจนติดต่อใครไม่ได้ Nomophobia มาจากคำว่า "no-mobile-phone phobia" ซึ่งจัดเป็นโรคกลัวทางจิตเวช เพราะมีอาการวิตกกังวลหรือกลัวเกินกว่าปกติ ที่สำคัญไม่เคยปิดมือถือเพราะกลัวพลาดการอัพเดทเรื่องราวต่างๆ ในปัจจุบัน และถ้าหากเป็นมากก็คงต้องปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษา ไม่เช่นนั้นโรคอื่นๆ จะตามมาอีกเพียบ

5) สมาร์ทโฟนเฟซ (Smartphone face)
          สมาร์ทโฟนเฟซ หรือโรคใบหน้าสมาร์ทโฟน    แต่เป็นโรคที่เกิดจากการก้มลงมองและจ้องไปที่สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตมากจนเกินไป เหตุนี้เองจึงทำให้เกิดการยืดของเส้นใยอิลาสติกบนใบหน้าทำให้แก้มบริเวณกรามเกิดการย้อยลงมา ส่วนกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากจะตกไปทางคาง ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะการนั่งก้มหน้ามองสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดการเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณคอและเพิ่มแรงกดบริเวณแก้ม จึงทำให้เกิดอาการดังกล่าวขึ้นมา และจะเห็นชัดเจนเมื่อถ่ายภาพด้วยตัวเอง

อ้างอิง  https://sites.google.com/site/phaykiltaw/rokh-thima-kab-khxmphiwtexr/tid-so-cheiy-lmi-deiy-rawang-pwy-pen-5-rokh